มีคนบอกว่า ถ้าไปยืนอยู่หัวแถว MLM ต้องทำยอดขายให้ได้
10 ล้านบาทขึ้นไป แล้วถามว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของโรงงานเย็บเสื้อ คุณก็ต้องรักษายอดให้โรงงานของคุณมียอดขายให้ได้
10 ล้านบาทเช่นกันหรือเปล่า เพื่อนำกำไรมาแจกจ่ายเป็นค่าแรง
ลูกจ้างในโรงงานคุณ
ซึ่งถ้ายอดขายไม่ถึง คุณก็ต้องลงไปพูด (ด่า) ผู้รับผิดชอบกับคนที่อยู่ข้างล่างคุณ
เช่น ทีมขาย หรือ ผู้จัดการโรงงาน และ ถ้ายอดขายโรงงานคุณ ไม่มียอดขายขึ้นมา
คุณต้องควักเนื้อ กู้แบงค์
หยิบยืมเงินเพื่อนฝูงมาจ่ายค่าจ้างพนักงานในโรงงานจองคุณจริงไหม?
หรือคุณเป็นแค่ผู้จัดการโรงงาน คุณก็อาจจะถูเจ้าของโรงงานไล่ออกได้ง่าย
เพื่อที่เจ้าของโรงงานเขาจะได้ผู้บริหารที่เก่งๆมาทำหน้าที่แทนคุณ แต่ถ้างาน MLM ถ้าคุณรักษายอดไม่ได้ 10 ล้านบาท
เงินที่คุณเคยได้ 200000 บาทต่อเดือนก็ลดลงอาจจะเหลือแค่ 100000 บาทต่อเดือน
แต่ไม่มีติดลบอย่างแน่นอน ไม่ต้องกู้แบงค์
ไม่ต้องยืมเงินเพื่อนมาจ่ายเงินเดือนให้ใคร และไม่มีใครไล่คุณออกอย่างแน่นอน และเดือนต่อๆไป
คุณก็พยายามใหม่
MLM คือการเป็นนายของตัวเองนั้นจริง
พูไม่ผิดหรอก เพราะการจะเป็นเจ้าของกิจการเองนั้น หมื่นคนจะมีสักกี่คนที่ได้เป็น
แต่ทำไมถึง ไม่ประสบความสำเร็จกันล่ะ?
เริ่มจากทำงานประจำก่อน
คุณก็ต้องมีทุนอย่างน้อยเดือนหนึ่งเหมือนกัน เพื่อเป็ค่ารถ ไปทำงาน ค่ากิน ค่าบ้าน
ค่า น้ำ ค่าไฟ ฯลฯ
เป็นเจ้าของกิจการล่ะ
สิ่งที่คุณต้องรู้คือ การเป็นเจ้าของกิจการ ก็ต้องมีเงินทุนเหมือนกัน
เปิดร้านขายกล้วยทอดหน้าปากซอย คุณต้องเสียเงิน ค่าเช่าที่ รถเข็น กระทะ น้ำมัน
แก็ส แป้ง น้ำตาล กล้วย ฯลฯ เท่าไหร่? ข้อดีคือ คุณขายได้ ยี่สิบบาท คุณก็สามารถเอาเงินไปซื้อ
ชาเขียวที่ เซเว่นฯ ได้เลย แต่ถ้าขายได้มากกว่านั้นก็เก็บไว้เป็นทุนเพราะขายดีกล้วยอะไรก็ต้องหมด
คุณก็ต้องไปซื้อมาเพิ่ม และก็อย่าลืมว่าคุณก็ต้องจ่าย ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถ
ฯลฯ เหมือนคนอื่นๆ แล้วข้อเสียล่ะ เหลือจะทำอย่างไร ทิ้ง หรือว่า
เอามาขายต่อพรุ่งนี้
แล้ว
MLM ล่ะ
คุณก็ต้องมีทุน ระหว่างที่รอให้มีรายได้ ค่ากิน ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ
เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ ไม่มีของเหลือ ไม่ต้องซื้อสินค้ามาตุน คุยกับสมาชิกทาง ไลน์
เฟสบุ๊ก ตามสะดวก มีใครสั่งสินค้า ค่อยไปที่คลังนำสินค้ามาส่งให้ สบายๆ ฝนตก
รถติดก็เลี่ยงได้ไม่ต้องแย่งใครออกจากบ้านไปทำงาน
มันแพงมาก!!! ต้นทุนกาแฟหน้าโรงงาน 3 in 1
ราคา 1.50 บาท แต่ขาย ถึงซองละ 15 บาท แล้วยังไงครับ รถยนต์ ต้นทุนนำเข้า 400000
บาท แต่มาขาย ถึง 4000000 บาท ทำไม ไม่มีลูกค้าคนไหนบ่นและยังคงต้องใช้กันอยู่ดี
มีคนซื้อกันทุกวัน รถบนถนนก็เพิ่มขึ้นทุกวัน สร้างปัญหาให้กับผู้คนมากมาย
สร้างปัญหาให้กับสภาวะโลก สร้างมลพิษมากมาย แล้วกาแฟซองเล็กๆ
จะสร้างปัญหาอะไรให้กับโลกมนุษย์มากเท่ารถยนต์หรือไม่ ถามว่า กินกาแฟชงเองก็ได้
ต้นทุนแก้วละ 3.50 บาทเอง จะเทียบกับ กาแฟ 3 in 1 ด้วยกันยี่ห้อที่นิยม ก็ ราคา ซองละ 8 – 12
แล้วแต่ช่วงลดราคา ซื้อแบบนั้นกินก็ได้ ทำไมต้องซื้อของแพงด้วย แล้วทำไมล่ะ
ยังมีกาแฟแก้วล่ะ ร้อยกว่าบาทที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าก็มี
คือถ้าจะพูดกันเรื่องของแพง พูดกันไม่จบ ฉะนั้นก็เป็นข้ออ้างของผู้ต่อต้านสินค้า MLM เท่านั้นที่จะยกขึ้นมาอ้าง