วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

thumbnail

MLM เป็น แชร์ลูกโซ่หรือเปล่า?

                 มีคนบอกว่า ถ้าไปยืนอยู่หัวแถว MLM ต้องทำยอดขายให้ได้ 10 ล้านบาทขึ้นไป แล้วถามว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของโรงงานเย็บเสื้อ คุณก็ต้องรักษายอดให้โรงงานของคุณมียอดขายให้ได้ 10 ล้านบาทเช่นกันหรือเปล่า เพื่อนำกำไรมาแจกจ่ายเป็นค่าแรง
ลูกจ้างในโรงงานคุณ ซึ่งถ้ายอดขายไม่ถึง คุณก็ต้องลงไปพูด (ด่า) ผู้รับผิดชอบกับคนที่อยู่ข้างล่างคุณ เช่น ทีมขาย หรือ ผู้จัดการโรงงาน และ ถ้ายอดขายโรงงานคุณ ไม่มียอดขายขึ้นมา คุณต้องควักเนื้อ กู้แบงค์ หยิบยืมเงินเพื่อนฝูงมาจ่ายค่าจ้างพนักงานในโรงงานจองคุณจริงไหม? หรือคุณเป็นแค่ผู้จัดการโรงงาน คุณก็อาจจะถูเจ้าของโรงงานไล่ออกได้ง่าย เพื่อที่เจ้าของโรงงานเขาจะได้ผู้บริหารที่เก่งๆมาทำหน้าที่แทนคุณ  แต่ถ้างาน MLM ถ้าคุณรักษายอดไม่ได้ 10 ล้านบาท เงินที่คุณเคยได้ 200000 บาทต่อเดือนก็ลดลงอาจจะเหลือแค่ 100000 บาทต่อเดือน แต่ไม่มีติดลบอย่างแน่นอน ไม่ต้องกู้แบงค์ ไม่ต้องยืมเงินเพื่อนมาจ่ายเงินเดือนให้ใคร และไม่มีใครไล่คุณออกอย่างแน่นอน และเดือนต่อๆไป คุณก็พยายามใหม่

                MLM คือการเป็นนายของตัวเองนั้นจริง พูไม่ผิดหรอก เพราะการจะเป็นเจ้าของกิจการเองนั้น หมื่นคนจะมีสักกี่คนที่ได้เป็น แต่ทำไมถึง ไม่ประสบความสำเร็จกันล่ะ?

                เริ่มจากทำงานประจำก่อน คุณก็ต้องมีทุนอย่างน้อยเดือนหนึ่งเหมือนกัน เพื่อเป็ค่ารถ ไปทำงาน ค่ากิน ค่าบ้าน ค่า น้ำ ค่าไฟ ฯลฯ

                เป็นเจ้าของกิจการล่ะ สิ่งที่คุณต้องรู้คือ การเป็นเจ้าของกิจการ ก็ต้องมีเงินทุนเหมือนกัน เปิดร้านขายกล้วยทอดหน้าปากซอย คุณต้องเสียเงิน ค่าเช่าที่ รถเข็น กระทะ น้ำมัน แก็ส แป้ง น้ำตาล กล้วย ฯลฯ เท่าไหร่? ข้อดีคือ คุณขายได้ ยี่สิบบาท คุณก็สามารถเอาเงินไปซื้อ ชาเขียวที่ เซเว่นฯ ได้เลย แต่ถ้าขายได้มากกว่านั้นก็เก็บไว้เป็นทุนเพราะขายดีกล้วยอะไรก็ต้องหมด คุณก็ต้องไปซื้อมาเพิ่ม และก็อย่าลืมว่าคุณก็ต้องจ่าย ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถ ฯลฯ เหมือนคนอื่นๆ แล้วข้อเสียล่ะ เหลือจะทำอย่างไร ทิ้ง หรือว่า เอามาขายต่อพรุ่งนี้

                แล้ว MLM ล่ะ คุณก็ต้องมีทุน ระหว่างที่รอให้มีรายได้ ค่ากิน ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เหมือนกับคนอื่นๆ แต่ ไม่มีของเหลือ ไม่ต้องซื้อสินค้ามาตุน คุยกับสมาชิกทาง ไลน์ เฟสบุ๊ก ตามสะดวก มีใครสั่งสินค้า ค่อยไปที่คลังนำสินค้ามาส่งให้ สบายๆ ฝนตก รถติดก็เลี่ยงได้ไม่ต้องแย่งใครออกจากบ้านไปทำงาน


มันแพงมาก!!! ต้นทุนกาแฟหน้าโรงงาน 3 in 1 ราคา 1.50 บาท แต่ขาย ถึงซองละ 15 บาท แล้วยังไงครับ รถยนต์ ต้นทุนนำเข้า 400000 บาท แต่มาขาย ถึง 4000000 บาท ทำไม ไม่มีลูกค้าคนไหนบ่นและยังคงต้องใช้กันอยู่ดี มีคนซื้อกันทุกวัน รถบนถนนก็เพิ่มขึ้นทุกวัน สร้างปัญหาให้กับผู้คนมากมาย สร้างปัญหาให้กับสภาวะโลก สร้างมลพิษมากมาย แล้วกาแฟซองเล็กๆ จะสร้างปัญหาอะไรให้กับโลกมนุษย์มากเท่ารถยนต์หรือไม่ ถามว่า กินกาแฟชงเองก็ได้ ต้นทุนแก้วละ 3.50 บาทเอง จะเทียบกับ กาแฟ 3 in 1 ด้วยกันยี่ห้อที่นิยม ก็ ราคา ซองละ 8 – 12 แล้วแต่ช่วงลดราคา ซื้อแบบนั้นกินก็ได้ ทำไมต้องซื้อของแพงด้วย แล้วทำไมล่ะ ยังมีกาแฟแก้วล่ะ ร้อยกว่าบาทที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าก็มี คือถ้าจะพูดกันเรื่องของแพง พูดกันไม่จบ ฉะนั้นก็เป็นข้ออ้างของผู้ต่อต้านสินค้า MLM เท่านั้นที่จะยกขึ้นมาอ้าง

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

thumbnail

mlm มา-แรง


คนบนยอด ปิรามิด รวย ๆ ๆ แล้วก็รวย ข้างล่างจน ๆ ๆ แล้วก็จน ต้องมาซื้อสินค้าใช้เอง ราคาก็แสนจะแพง ผมก็ต้องขอบ

อกว่ามันเป็นอุปาทานหมู่ของกลุ่มผู้ต่อต้าน แล้ว รถยุโรป สินค้าแฟชั่นจากฝรั่งเศส แพงแสนแพง ทำไมคนขายไม่เห็นบ่นกันเลย ผมก็ยังเห็นทุกวันนี้ก็ยังมีสินค้าราคาแพงจากเมืองนอกขายกันอยู่อย่างปกติ คุณก็อาจจะยังเถียงต่อไปว่า ไม่เกี่ยวกัน อันนั้น คนซื้อเขาอยากได้ แต่สินค้า MLM นี้ไม่เห็นมีใดรอยากได้เลย ซึ่งคุณจะไปรู้อะไร รถยุโรป หรือกระเป๋าจากฝรั่งเศส เขาขับโชว์ถือโชว์กันที่ไหนก็ได้ แต่ สบู่ ยาสีฟัน จะมีใครเดินถือโชว์กลางตลาดกันบ้าง เข้าซื้อ ก็ไปอยู่ในห้องน้ำ บ้างก็ห้องครัว ในตู้เย็นแล้วแต่ชนิดของสินค้านั้นๆ ซึ่งคุณก็ไม่มีโอกาสได้เห็นทุกบ้านอย่างแน่นอน

                แล้วคนบนยอดรวยเอารวยเอาคุณก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้น คุณไม่ขายของให้ดีกว่าปล่อยให้คนบนยอดอดตายกันไป แล้วคุณก็หันมาเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว จะได้ไม่มีใครเอาเปรียบคุณ ซึ่งคุณก็อาจจะลืมนึกไปว่า แล้วเจ้าของโรงงานทำเส้นก๋วยเตี๋วเส้นบะหมี่ล่ะมีคนซื้อเขาเยอะๆ เขาก็รวยเอารวยเอาเหมือนกัน โดยไม่ต้องมานั่งลวกเส้นหมี่สักขามหนึ่งเพื่อขายชาวบ้าน คุณก็ต้องทำงานหาเงินให้เขาอยู่ดี แล้วเจ้าฟาร์มหมูฟาร์มไก่ล่ะ แม่ค้าขายผักในตลาด ชาวสวนที่ปลูกผักชีล่ะ เขาไม่ได้มานั่งลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวกับคุณสักชาม เขา ก็ได้เงิน จากคุณเหมือนกัน ซึ่งคนบนยอด ปิรามิดที่คุณว่า เขาก็ต้องทำงานของเขา มาประเทศไทยที่ ก็มีเงินติดกระเป๋าด่าจ้างค่าที่พัก ห่างลูกห่างเมีย แล้วคิดไหมว่าสักวันเครื่องบินจะตก ซึ่งเขาก็ต้องมาประเทศนู้นประเทศนี้ไปทั่ว ซึ่งคุณจะเห็นแต่ตอนที่เขา ขับเรือยอรด์เล่น อยู่ในที่หนูหราราคาแพง คุณกำลังอิจฉาเขาใช่ไหม?

                แต่ถ้าคุณขยันจริง คุณขายก๋วยเตี๋ยวก็ร่ำรวยเป็นเจ้าของกิจการเหมือนชายสี่ฯได้ แต่จะมีแม่ค้าพ่อค้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวสักกี่คนที่ทำได้แบบนั้น ก็เช่นกัน คุณหรือคนอื่นๆที่ทำ MLM จะขึ้นไปยืนอยู่ยอดปิรามิดนั้นได้ ก็ต้องทำงานเก่งเหมือนเจ้าของธุรกิจในสาขาอาชีพอื่นๆเหมือนกัน ซึ่งผมมั่นใจว่า คนส่วนใหญ่ทั่วโลกชอบที่จะคอยรับคำสั่งต่อไปเพื่อนให้ทำงาน สิ้นเดือนรับเงินเดือน ส่วนงานจะหนักจะเบาไม่ว่า สิ้นเดือนต้องได้เงิน ขี้เกียจคิดเอง เพราะแม้คุณจะก้าวเข้าสู่วงการ MLM เป็นครั้งแรกก็ต้องมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา เพื่อ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้


                ต้องโทรศัพท์ คุยกับคนหลายคนเพื่อชวนไปร่วมสัมมนา เพื่อไปสมัครร่วมทีม ยุ่งยากวุ่นวาย ไม่มีเวลามากขนาดนั้น แต่ผมก็เห็นว่าคนทำงานประจำ ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง พัก 1 ชั่วโมง แต่ต้องตื่นตีห้า ออกจากบ้าน 6 โมงเช้า ฝ่ารถติดไปถึงที่ทำงานให้ทันก่อนแปดโมงเช้า ตกเย็นเลิกงาน สี่โมงเย็นเจอรดติดอีกรอบหนึ่ง ถึงบ้าน 6 โมงเย็น เอาเป็นว่านับเวลาที่อยู่นอกบ้าน รวมกันแล้วก็ 12 ชั่วโมง เอาเวลามาทำ MLM 12 ชั่วโมงดีไหม?  ขี้เกียจเสียเงินค่ารถไปหา ก็โทรศัพท์ ไปหา ส่ง ไลน์ไปก็ได้ เฟสบุ๊กก็มี จะใช้เวลาสักกี่นาทีที่จะทำแบบนี้ ผมเห็นหลายคนก็ยังมีเวลามานั่งส่องรูปเพื่อนๆคนอื่นในเฟสบุ๊กได้ทุกเวลาทุกสถานที่ ขนาดยืนบนรถเมล์ยังยืนดูได้เลย เปลี่ยนเป็นส่งข้อความดีๆชักชวนกันทำงาน MLM ก่อนดีไหม คำตอบที่ได้กลับมาคือ... กลัวเสียเพื่อน เพื่อนในเฟส 30 ล้านคน คุณจิ้มไปเถอะ จิ้มไปเรื่อย เขาก็รับคุณเป็นเพื่อนเอง มีใครจะกั้นคุณ ก็หาเพื่อนใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่จบหรอกเพื่อนในเฟสเยอะแยะ ใน Line ก็อีกเพียบ คุยกันทั้งวันไม่หมด

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

thumbnail

MLM คือ อะไร

                 สมมุติ คุณเป็นลูกจ้างของร้านขายเสื่อยืดร้านหนึ่ง เขาจ้าคุณเดือนล่ะ 15000 บาท และต้องขายของภายในร้านให้ได้ 150000 บาทต่อเดือน ส่วนรายจ่ายที่เขาต้องจ่าย ค่าเช่าร้านอีก 15000 บาท ค่าขนส่ง ค่าภาษี ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ต้นทุนอีกเสื้อตัวละ 100 บาท คุณคิดว่า เขาจะขายเสื้อตัวนั้นตัวล่ะเท่า
ไหร่? ตัวล่ะ 200 หรือ ตัวล่ะ 300 บาท หรือตัวล่ะ 500 บาท คุณก็คงไม่สนใจมีหน้าที่ขายก็ขายไป และถ้าวันหนึ่ง นายจ้างคุณเขารับลูกจ้างเพิ่มมาช่วยคุณขาย เพื่อไม่ให้คุณเหนื่อยเกิน คุณกับลูกจ้าคนใหม่ก็ทำงานน้อยลง คุณก็อาจจะได้รับเงินเดือนเหลือเงินเดือน แค่ 12000 บาทเพื่อจะได้มีเงินไปจ่ายให้ลูกจ้างอีกคนที่เพิ่มขึ้นมา แต่ คุณก็ไม่ต้องนั่งขายทั้งวัน เพราะมีคนช่วยขายแล้ว ยอดที่คุณจะขายต่อเดือนก็ลดลง อาจจะเหลือแค่ 120000 บาท ต่อเดือน ส่วนลูกจ้างอีกคน ก็มาช่วยขายก็ต้องทำยอดขายประมาณคุณก็อยู่กันได้ และถ้าเขารับมาสามคนล่ะ คุณ ก็ต้องเฉลี่ยงานกันไป แล้ว คุณ ก็อาจจะ ได้รับเงินเดือนเพียงแค่ 9000 บาท ซึ่งก็แน่นอน ยอดขายต่อเดือนที่คุณต้องขาย ก็ลดลงเป็นเงาตามตัว คุณไม่ต้องมานั่งขายเองทั้งหมด มีคนช่วยขายเสื้อให้คุณ และถ้า เจ้าของ รับลูกจ้างมาร้อยคนล่ะ คุณก็ก็จะเหลือเงินเดือนแค่เดือนล่ะ 100 บาท แต่คุณก็ขายเสื้อ แค่ สองตัว แล้วคุณก็กลับบ้านนอนได้เลย ก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณทำงาน MLM คุณขายสบู่เดือนละ 2 ก้อน คุณก็จะได้ค่าจ้างแค่ 100 บาท เหมือนกัน แต่ไม่มีใครว่าอะไร ถ้าเกิดเจ้าของร้านเสื้อจะทำแบบนี้

                คุณคิดว่าถูกไหม ทำงานน้อย ขายของน้อยก็ได้เงินน้อยเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งถ้าคุณอยากทำ
MLM ให้ได้เงินเยอะ คุณก็ต้องขายสินค้าให้เยอะ ขายสบู่ให้ได้ 1000 ก้อนเพื่อให้ได้เงินเดือน 15000 บาท และบริษัทที่คุณทำอยู่นั้นดำรงอยู่ได้ แต่ถ้าคุณหาคนมาช่วยขาย คุณก็ไม่ต้องขายสบู่ 15000 บริษัทมียอดขายต่อเดือนเกิน 150000 เขาก็อยู่ได้ คุณทำงานน้อนลง เพื่อนคุณมาช่วยคุณขาย คุณก็ต้องแบ่งเงินให้เขาด้วย เข้าใจตรงกันนะ

                แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ ทำงานน้อย เงินเดือนก็น้อยตาม แต่บริษัท MLM มักจะขายฝันว่า คุณจะ มีบ้าน มีรถ ไปเที่ยวต่างประเทศอะไรทำนอง ซึ่งผมไม่รู้ว่า บริษัท MLM นั้นจะชูนโยบายนี้ขึ้นมาทำไม คุณทำงานบริษัททั่วไปเป็นสาวโรงงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง ถ้าคุณมีเงินเดือน 50000 – 100000 บาทต่อเดือน คุณก็ขวนขวายซื้อรถซื้อบ้านเองนั่นล่ะไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอก  
        
                ผมเข้าใจว่า ผู้ต่อต้าน คิดว่าทำงานประจำดีกว่า สิ้นเดือนแน่นอน 15000 แน่นอน แต่ถ้าคุณทำงานให้เขาไม่ได้ละ ขายสินค้าให้เขาไม่ได้ตามเป้า เขาจะมีเงินเดือนมาให้คุณหรือ? ซึ่งคุณจะเถียงว่า ดิฉันทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรมค่ะแต่งตัวสวยไปวันๆ ก็จริงแต่ก็ต้องมีคนที่ต้องทำงานการตลาดเพื่อให้มีคนมาพักที่โรงแรมที่คุณทำงานอยู่เพื่อให้มีเงินมาหล่อเลี้ยงโรงแรมที่คุณทำงานอยู่ หรือคุณจะทำงานด้านบันชีที่สำนักงานทนายความ ซึ่งแน่นอนคุณไม่ต้องทำยอดขายเข้าบริษัท แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งหาเงินเข้าบริษัท นั่นก็คือ เหล่าพี่ๆทนายความที่ออกไปว่าความ ถ้าพวกเขาไม่มีงาน บริษัทจะเอาอะไรมาจ่ายเงินเดือนให้คุณ


                งานทุกงาน บริษัททุกบริษัทต้องมีรายรับเพื่อนำเงินมาจ่ายพวกคุณ งาน MLM ก็ต้องมีรายรับเข้าบริษัท ซึ่งคุณเป็นผู้หามาได้ หามามากได้มาก จบป่ะ...
thumbnail

สงสัย MLM

ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมงาน MLM นี้ถึงถูกต่อต้านอย่างหนักทั้งในชีวิตจริงและในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่ง ค้นหาคำว่าทำงานเกี่ยวกับ MLM ดีไหม สิ่งที่คุณตะได้รับคำตอบกลับมา คือ การต่อต้าน รวมไปถึงคำแช่งด่าอย่างมากมาย หลายๆหัวข้อที่มีคนต่อต้าน นั้นพอจับใจความได้ว่า

ถูกหลอกลวงให้ไปฟังคำบรรยายที่ห้องสัมมนาเล็กๆที่หนึ่ง ซึ่งที่ผมเจอก็คือตึกแถวอย่างน้อยก็สองคูหา
ขึ้นไป ซึ่ง... ผมเองไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่ ผู้ชวนสมาชิกใหม่เข้าไปนั้นเหตุผลก็คือไม่แน่ใจว่าตนเองจะพูดชักชวนสมาชิกใหม่ได้หรือไม่? จึงก่อให้เกิดเล่ห์ เพทุบายต่างๆนาๆที่จะคิดออกได้ของผู้ทำงานด้านนี้ ชักชวน ชักจูง ขอร้อง บังคับ ต่างๆนาๆ เพื่อให้ผู้ที่ถูกชักชวน ไปกับคุณให้ได้ ไปให้ อัพไลน์ ของคุณกล่อมต่อ หรือไปให้เห็นว่า ผู้โฆษณาที่ห้องสัมมนานั้นปล่อยของหรือสินค้าระดับสุดยอดให้ผู้ที่ถูกชักชวนนั้นได้เห็นกับตาถึงความดีความเด่นของสินค้าและองค์กร. ซึ่งไม่ผิด และ ไม่ถูก ที่ไม่ผิดเพราะ คุณพูดไม่ถูก พูดไม่ได้ พูดไม่เป็น ก็เลยให้ อัพไลน์ ช่วยหนูหน่อย แต่ ที่ผิดก็คือ ผู้ที่ถูกชักชวนนั้นเขาอยากไปหรือพร้อมที่จะไปหรือไม่?

ทางแก้ ก็คือ ชักขวนผู้ที่คุณต้องการให้เขาร่วมงานกับคุณ พร้อมที่จะไปกับคุณ ถ้าเขาไม่พร้อมหรือไม่ไปก็ไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องพาเขาไป คุณก็จะกลายเป็นคนดีที่สามารถพูดคุยกับเขาได้ต่อไป

บอกว่าทำงานสร้างความร่ำรวยให้กับยอด ปิรามิด ที่อยู่เหนือเราขึ้นไป ซึ่ง เป็นความคิดและเป็นคำพูดที่ถูกต้องที่สุดที่ ผู้ต่อต้านจะยกมาอ้าง มาต่อว่าผู้มาชักชวน แต่ผมอยากถามสักคำ คุณทำงานที่ไหนที่เจ้าของเขาไม่รวยบ้าง คุณก็ทำงานและหาเงินให้เขาเหมือนกันทุกประการแม้ว่าคุณจะเป็นแค่ ยาม แม่บ้านในออฟฟิศ ธุรการ บันชี ช่างยนต์ แม้แต่เป็น ผุ้จัดการที่ตำแหน่งสูงสุดในออฟฟิศแห่งนั้น แต่ก็มีนายทุนที่เป็นเจ้าของที่อยู่ข้างหลัง ทั้งเช่าทั้งซื้อตึกที่คุณทำงานอยู่ จ่ายเงินเดือนให้กับทุกคนในบริษัท จ่ายค่าน้ำค่าไฟ และมากมายก่ายกอง ซึ่งเขาก็ต้องมีเงินหมุนเวียนมากมาย และต้องหางานข้างนอกเพื่อแลกเป็นเงินมาจ่ายให้คุณ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆจะมีอาเสี่ยสักคนลุกขึ้นมาตั้งบริษัทแล้วจ่ายเงินเดือนให้พวกคุณโดยที่คุณไม่ต้องทำงานเลยสักอย่าง จะเป็น โรงงานเย็บผ้า คุณก็ต้องนั่งงกๆเย็บผ้าทั้งวันทั้งคืนเพื่อเจ้าของโรงงานจะได้นำเสื้อผ้าที่คุณตัดเย็บไปส่งต่อให้ลูกค้าเพื่อให้ได้เงินกลับมาจ่ายเป็นค่าจ้างให้คุณ ถามว่า คุณได้เดือนละ 15000 บาท แล้วเจ้าของได้เงินเท่าไหร่ โดยที่เขาไม่ต้องมานั่งเย็บผ้าสักตัว แต่ทำไมนับวันเจ้าของโรงงานยิ่งรวยขึ้น มีรถราคาแพงขับ บ้านหลังใหญ่ ส่งลูกหลานของเถ้าแก่ไปเรียนต่อเมืองนองอย่างสุขสบาย ส่วนคุณก็นั่งเย็บผ้าอยู่อย่างเดิม เงินเดือนก็เท่าเดิม ทำไมเขาไม่ซื้อรถให้คุณ ซื้อบ้านให้คุณอยู่ และไม่ส่งลูกหลานคุณไปเรียนเมืองนอกบ้างล่ะ ทั้งๆ ที่คุณเป็นเย็บผ้าแท้ๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าทำนาบนหลังคนหรือเปล่า? แต่ทุกวันนี้ ก็มีคนจำนวนมาก ที่ยังคงนั่งทำงานในโรงงาน อยู่ตามห้างร้านในห้างสรรพสินค้า ต้องตื่นเช้า นั่งรถเมล์ไปทำงาน สายขึ้นมาก็มีปัญหา ค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟก็ต้องเป็นคนจ่ายเองทั้งหมด

About

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ผู้ติดตาม